3 สิ่งที่ควรรู้ในการตรวจสุขภาพของสุนัข

3 สิ่งสำคัญที่ควรรู้ในการตรวจสุขภาพสุนัข

ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า หลายๆท่านที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพในสุนัขมากขึ้น  โดยจะเห็นว่าโรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิครักษาสัตว์หลายๆที่ มีโปรแกรมการตรวจสุขภาพ

โดยแบ่งตามอายุของสุนัข เพราะแต่ละช่วยวัยจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างกัน โปรแกรมการตรวจสุขภาพแต่ละช่วยวัยจึงมีรายละเอียดการตรวจที่ต่างกัน 

เช่น โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับสุนัขเด็ก จะไม่มีการตรวจลงลึกในโรคหัวใจ เพราะโรคหัวใจในสุนัขที่ต้องใช้ ยาโรคหัวใจสุนัข Vetmedin ส่วนใหญ่จะเกิดในสุนัขที่อายุมาก แต่ถ้าท่านมีความสงสัยหรืออยากให้สัตวแพทย์ตรวจเพิ่มเติมก็สามารถแจ้งความต้องการให้สัตวแพทย์ทราบได้

โดยโปรแกรมการตรวจจะมี 3 ส่วนที่เราควรรู้ คือ

1. ตรวจจากเลือด
2. ตรวจอวัยวะภายนอก
3. ตรวจอวัยวะภายใน

ทั้งนี้อยู่ที่แต่ละโรงพยาบาลหรือคลีนิคจะมีรายละเอียดในการตรวจเลือด ตรวจภานนอก/ภายใน อย่างไร เพราะยิ่งมีรายการตรวจเยอะ ราคาก็จะแพงขึ้น

สำหรับสุนัขที่ยังอายุไม่มาก การตรวจจะเป็นการตรวจทั่วไปเท่านั้น เพราะสุนัขที่อายุยังไม่มากมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคน้อยกว่าสุนัขสูงอายุ

โดยสุนัขเด็กจะมีภูมิคุ้มกันที่ยังไม่แข็งแรง โรคส่วนใหญ่ที่เกิดในสุนัขวัยเด็กจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อมากกว่าที่จะเจอว่าเป็นโรคที่รุนแรง

ดังนั้นรายละเอียดการตรวจจะเป็นการตรวจที่ยังไม่ลงลึกเฉพาะโรคมากนัก

ตัวอย่างรายละเอียดการตรวจสำหรับสุนัขที่อายุไม่เกิน 3 ปี

1. การตรวจเลือด : โดยทั่วไปจะเป็นการตรวจดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง/เม็ดเลือดขาว ค่าตับ ค่าไต พยาธิในเม็ดเลือด/ทางเดินอาหาร ระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น

2. ตรวจภายนอก : จะเป็นการตรวจอวัยวะภายนอกที่สัตวแพทย์ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรมาก จะเป็นการตรวจเช็คด้วยการมองด้วยตาเปล่าและมือในการสัมผัสอวัยวะภายนอกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีรายละเอียดการตรวจดังนี้

• วัดไข้ จะทำเป็นลำดับแรกหรือหลังสุดก็ได้ โดยอุณภูมิของสุนัขโดยปกติควรอยู่ในช่วง 99.5–102.5 °F
• ตา    ต้องไม่มีขี้ตาในตา ส่วนของตาขาวต้องมีสีขาว
• หู     ใบหูต้องดูสะอาด ต้องไม่มีขี้หูหรือไรหู
• จมูก  ต้องไม่มีน้ำมูก
• ปาก    ดูเหงือทั้งสองข้าง ว่าเหงือกสีปกติไหม มีหินปูนที่ฟันหรือไม่
• ลิ้นและคอ     ให้สุนัขอ้างปากเผื่อดูว่ามีอะไรอุดในคอไหม ลิ้นเป็นสีปกติหรือไม่
• คอ        เป็นการจับและกดเบาๆ ตรงบริเวณคอว่าสุนัขมีอาการอะไรหรือไม่
• บริเวณหน้า  เป็นการจับและสัมผัสสิ่งผิดปกติด้วยมือของสัตวแพทย์
• บริเวณไหล่ บ่า  เป็นการจับและสัมผัสสิ่งผิดปกติด้วยมือของสัตวแพทย์
• ช่องอก  สัตวแพทย์จะให้หูฟัง ฟังเสียงปอดทั้งสองฝั่ง รวมถึงฟังเสียงหัวใจร่วมด้วย
• ช่องท้อง เมื่อลูปแล้วต้องไม่เจอก้อนใดๆ ท้องไม่บวม
• ดูขน/ผิวหนัง ดูว่ามีปรสิตอยู่ที่ขนหรือผิวหนังหรือไม่
• ดูขา  สัตวแพทย์จะดูการเคลื่อนไหวของข้อต่อ โดยจะขยับขาดูว่ามีเสืยงเวลาขยับข้อขาหรือไม่
• ดูฝ่าเท้า ว่ามีรอยแดงหรือฝ่าเท้ามีสิ่งผิดปกติอะไรหรือไม่
• ดูช่วงสะโพก ตรวจโดยใช้มือสัมผัสว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่
• ดูทวารหนัก ใช้มือคล่ำดูว่ามีการอักเสบบวมหรือไม่

ถ้าเป็นการตรวจร่างการภายนอก ควรจะให้สัตวแพทย์ตรวจครบทุกส่วนตามนี้ เนื่องจากเป็นวิธีการตรวจที่ง่ายและใช้เวลาไม่นาน เจ้าของสุนัขสามารถอยู่กับสุนัขในตอนตรวจได้ เพราะสัตวแพทย์จะตรวจในห้องตรวจปกติ

สำหรับการตรวจภายใน จะเป็นโปรแกรมการตรวจสุขภาพสำหรับสุนัขที่มีอายุมาก หรือมีอายุมากกว่า 3 ปี เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมากขึ้น 

3. ตรวจภายใน : เป็นการ X ray อกและช่องท้อง และ อัลตร้าซาวด์หัวใจ เพื่่อดูความผิดปกติของ ปอด ตับ ม้าม หัวใจ เป็นต้น 

บทสรุป

การเลือกจากตรวจสุขภาพควรเลือกให้เหมาะสมกับวัยและสภาพร่ายการของสุนัขแต่ละตัว เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการตรวจ เพราะการที่เราพาสุนัขมาตรวจสุขภาพก็หวังที่จะไม่ให้สุนัขมีโรคใดๆ แต่ถ้าตรวจเจอสิ่งที่ผิดปกติบางอย่างก็จะทำให้แพทย์ทำการรักษาได้ทันท่วงที

ซึ่งหลายๆ โรคถ้าตรวจพบก่อนที่สุนัขจะแสดงอาการผิดปกติออกมา ก็สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ หรือถ้าเจอว่าเป็นโรคที่่รักษาไม่หายขาด เราก็จะช่วยบรรเทาอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นโดยเร็วเกินไป

เพราะในแต่ละปีที่ผ่านไป ร่างการสุนัขจะแก่ขึ้น 7 ปี นั้นหมายความว่าการที่เราพาสุนัขไปตรวจสุขภาพทุกๆปี หมายถึงร่างกายเขาแก่ขึ้นเพิ่มอีก 7 ปีถ้าเทียบกับอายุคน โดยเฉพาะถ้าเป็นสุนัขที่อายุมาก จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตามวัย เช่นโรคหัวใจได้มากขึ้น โดยโรคหัวใจนี้ถ้าตรวจพบและรักษาโดยการให้ยา Vetmedin เร็วเท่าไหร่ ก็จะช่วยยืดอายุสุนัขให้ใช้ชีวิตร่วมกับเราได้นานขึ้นด้วย